เทคโนโลยี “การพิมพ์ 3 มิติ” ได้กลายเป็นคำฮิตในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา กระตุ้นให้ธุรกิจจำนวนมากทดลองใช้เทคโนโลยีนี้ในกระบวนการผลิตของตัวเอง ครัวเรือนสามารถเป็นเจ้าของเครื่องพิมพ์ 3 มิติ และใช้พิมพ์ข้าวข้องเครื่องใช้ต่างๆ เช่น ของเล่น เฟอร์นิเจอร์ และอื่นๆ ขณะที่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผู้คนเริ่มพิมพ์ “อาหาร” โดยใช้เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ และร้านอาหารหลายแห่งก็เสิร์ฟอาหารที่พิมพ์ 3 มิติกันแล้ว
การพิมพ์อาหาร 3 มิติ ทำงานอย่างไร
การพิมพ์ 3 มิติเป็นเทคโนโลยีการผลิตแบบเติมเนื้อวัสดุที่เกี่ยวข้องกับการสร้างวัตถุ 3 มิติทีละชั้น เทคนิคการพิมพ์ 3 มิติที่พบมากที่สุดคือ การสร้างแบบจำลองการสะสมแบบหลอมรวม (Fused Deposition Modeling หรือ FDM) เครื่องจักร FDM แบบดั้งเดิมจะดันพลาสติกที่หลอมละลายผ่านหัวฉีดที่อุ่นแล้วไปยังแผ่นฐานเพื่อสร้างรอยเท้า 2 มิติของวัตถุ และค่อยๆ ขับออกมาทีละชั้น อาหารที่ถูกผลิตด้วยเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ ก็ทำงานบนหลักการเดียวกัน แต่กระบวนการนี้เกี่ยวข้องกับการใช้วัสดุที่กินได้ เช่น แป้ง ช็อกโกแลต หรือผลไม้ และผัก ที่ถูกบดเป็น “หมึก” ในเครื่องพิมพ์ 3 มิติ จากนั้นวัสดุเหล่านี้จะถูกอัดขึ้นรูปผ่านหัวฉีดเพื่อสร้างรูปทรงหรือการออกแบบที่ต้องการ
โดยทั่วไปแล้วการพิมพ์อาหาร 3 มิติ จะเริ่มต้นด้วยการสร้างการออกแบบดิจิทัลหรือแบบจำลองของรายการอาหารที่จะพิมพ์ การออกแบบนี้จะถูกโหลดลงในเครื่องพิมพ์ 3 มิติ ซึ่งใช้เทคนิคต่างๆ ในการสร้างรายการอาหารทีละชั้น
แม้ว่ากระบวนการพิมพ์ 3 มิติจะค่อนข้างตรงไปตรงมา แต่ช่วยให้เชฟและผู้ผลิตสามารถสร้างรูปทรงเรขาคณิตที่ซับซ้อนซึ่งไม่สามารถผลิตด้วยมือได้ นอกจากนี้ยังช่วยให้นักวิทยาศาสตร์การอาหารสามารถปรับแต่งคุณค่าทางโภชนาการของอาหารและเสริมสร้างผลิตภัณฑ์ด้วยไฟเบอร์ โปรตีน และส่วนผสมอื่นๆ เพิ่มเติม รวมถึงสามารถกำหนดวิตามิน สารอาหาร และแคลอรีต่อมื้อในแต่ละมื้อได้ในปริมาณที่แน่นอน จึงตอบโจทย์โภชนาการส่วนบุคคล (Personalized Nutrition) ได้เป็นอย่างดี
สามารถกำหนดสูตรอาหาร “หมึกพิมพ์” ที่ให้วิตามิน สารอาหาร และแคลอรีต่อมื้อในแต่ละมื้อได้ในปริมาณที่แน่นอนขณะเดียวกันการพิมพ์ 3 มิติ ก็ช่วยให้สามารถสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์อาหารตามสั่ง เช่น ช็อกโกแลตหรือเค้กที่มีลวดลายเฉพาะบุคคลได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังช่วยลดขยะอาหารได้โดยใช้ส่วนผสมในปริมาณที่จำเป็นเท่านั้นเพื่อสร้างการออกแบบเฉพาะ เช่นเดียวกับการสร้างผลิตภัณฑ์อาหารจากแหล่งทางเลือกที่ยั่งยืน เช่น โปรตีนจากแมลง
อุตสาหกรรมอาหารสามารถใช้การพิมพ์ 3 มิติ เพื่อผลิตอาหารที่มีรายละเอียดจำนวนมากได้เร็วขึ้น เพื่อสร้างประสบการณ์การรับประทานอาหารแบบใหม่ที่ปรับขนาดได้ ซึ่งดึงดูดผู้บริโภคที่มีความอยากรู้อยากเห็น และสนใจใคร่ลอง โดยการพิมพ์ 3 มิติช่วยให้สามารถออกแบบอาหารที่เป็นเอกลักษณ์และเป็นนวัตกรรมซึ่งสามารถดึงดูดลูกค้าและเพิ่มยอดขายได้ ตัวอย่างเช่น พาสต้าที่พิมพ์ 3 มิติ สามารถออกแบบเป็นรูปทรงและลวดลายที่ซับซ้อนได้ ในขณะที่รูปปั้นผักและผลไม้ที่พิมพ์ 3 มิติสามารถใช้เป็นของตกแต่งสำหรับกิจกรรมและงานปาร์ตี้ได้ เป็นต้น
จุดแข็งอีกประการหนึ่งก็คือ การพิมพ์อาหาร 3 มิติ ช่วยในด้านต้นทุนและประสิทธิภาพ สามารถช่วยเพิ่มความคล่องตัวในกระบวนการผลิตอาหาร ลดความจำเป็นในการใช้แรงงานคนและเพิ่มผลผลิต
ปัจจุบัน มีอาหารหลายประเภทที่นิยมนำการพิมพ์ 3 มิติ มาใช้ เช่น พิซซ่า พาสต้า ช็อกโกแลต สแน็คบาร์เสริมโปรตีน เค้ก แพนเค้ก วาฟเฟิล ฯลฯ
โดยรวมแล้ว เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิตินำเสนอความเป็นไปได้มากมายสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร ทำให้กระบวนการผลิตอาหารมีประสิทธิภาพ ยั่งยืน และตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะบุคคลมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะไม่มีข้อบังคับเฉพาะสำหรับอาหารที่พิมพ์ 3 มิติ แต่การใช้ส่วนผสมที่องค์การอาหารและยารับรองแล้วว่าปลอดภัยจะทำให้อาหารนั้นไม่เป็นอันตรายและเหมาะสำหรับการบริโภค
ข้อบังคับด้านสุขภาพและความปลอดภัยของการพิมพ์อาหาร 3 มิติ
อาหารที่พิมพ์ 3 มิติต้องเป็นไปตามมาตรฐานด้านสุขภาพและความปลอดภัยเช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์ที่รับประทานได้อื่นๆ ทั้งหมด อาหารที่พิมพ์ 3 มิติสามารถรับประทานได้อย่างปลอดภัย ตราบใดที่ส่วนผสมและสารเติมแต่งทั้งหมดได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานที่ควบคุมมาตรฐาน และเครื่องพิมพ์ 3 มิติ ใช้วัสดุเกรดอาหารสำหรับหัวฉีด กระบอกฉีด และแผ่นรองฐานการพิมพ์
ที่มา: salika