1.ปัญญาประดิษฐ์หรือ ai ที่สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกับเครื่องจักรกล
ถ้าพูดถึง ai หลายๆคนคงจะพอรู้จักหรือเคยได้ยินมาบ้างใช่ไหมครับ อาจจะเป็น ในโฆษณา หรือข่าวสารเกี่ยวกับ ai หรือที่เราเห็นในหนังประเภทที่ว่า หุ่นยนต์มีการพัฒนาความคิดขึ้นมาเองจนเก่งกว่าคน ซึ่งในความเป็นจริงนั้นได้เกิดขึ้นแล้วนะครับ คือ ai ที่ชื่อ Alpha go(อัลฟา โกะ) หรือ ai ที่พัฒนาขึ้นเพื่อเล่นหมากล้อมญี่ปุ่นนั่นเองครับ โดย ai Alpha go นี้ก็ได้พิสูจน์ความสามารถในการแข่งขันกับแชมป์หมากล้อมญี่ปุ่นของโลกและได้รับชัยชนะไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ และในวันที่แข่งขันเองก็มีการถ่ายทอดสดโดยได้รับความสนใจจากทั่วโลกมากมายด้วยนะครับ
ในด้านการพัฒนา ai นั้นก็ได้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องเลยนะครับ จนถึงขั้นที่มีการแบ่งแยกแนวความคิดออกเป็น 2 ด้านคือ แนวคิดว่า ai จะเป็นภัยคุกคามต่อมนุษย์ในอนาคต หรือ Dystopia (เหมือนในหนังเลยนะครับ *0*) โดยผู้ที่เห็นด้วยกับความคิดนี้ก็มี อีลอน มัส , บิล เกตส์ , สตีเฟ่น ฮอว์กิ้ง แต่อีกหนึ่งแนวความคิดที่ตรงข้ามกันคือ Utopia หรือแนวคิดที่ว่า ai กับมนุษย์สามารถอยู่ร่วมกันและช่วยกันพัฒนาได้ ซึ่งผู้ที่เห็นด้วยกับความคิดนี้ก็มี มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก , เอริก ชมิดต์ และ เจฟ เบโซ โดยทั้งสองแนวความคิดนี้ก็มีเหตุผลที่น่าสนใจรองรับทั้งสองฝั่งเลยครับ ตรงนี้ผมเลยแนบลิ้งก์ไว้ให้ท่านผู้อ่านได้อ่านเพิ่มเติมด้วยนะครับ
2.Quantum(ควอนตัม) Computing หรือซุปเปอร์คอมพิวเตอร์นั่นเอง
เทคโนโลยีควอนตัมคอมพิวติ้งนั้นก็คือพัฒนาการของคอมพิวเตอร์ที่เราใช้อยู่ในปัจจุบันนั่นเองครับ แต่ความเร็วที่คอมพิวเตอร์แบบควอนตัมสามารถทำได้นั้น หากเทียบกับคอมพิวเตอร์ราคาแพงๆที่เราใช้ในปัจจุบัน ต้องบอกเลยว่า แตกต่างกันในหลักทวีคูณเลยทีเดียวครับ คุณผู้อ่านลองนึกภาพตามดูนะครับว่า ถ้าเราสร้างรหัสอีเมล์ รหัสบัญชีธนาคาร หรือรหัสส่วนตัวใดๆก็ตามที่มีความซับซ้อนเกินกว่าจะแก้ได้ คือปลอดภัยมากๆ
และคอมพิวเตอร์ปัจจุบันสามารถแก้รหัสเหล่านั้นได้ในเวลาหนึ่งพันปี แต่ควอนตัมคอมพิวติ้งนั้น สามารถแก้รหัสเหล่านั้นได้ในเวลาเพียงแค่ไม่กี่นาที !!?! ได้ยินไม่ผิดนะครับ แค่ไม่กี่นาทีเท่านั้นเอง แสดงว่าประสิทธิภาพการคำนวนของเทคโนโลยีควอนตัมนั้น เกินกว่าที่เราจะจินตนาการไปไกลมากๆเลยนะครับ ซึ่งเทคโนโลยีควอนตัมนี้ก็จะถูกนำไปใช้ในชีวิตประจำวันเช่น การคมนาคม สภาพอากาศ หรือทางการแพทย์ การเข้ารหัสต่างๆ เพราะความสามารถในการคำนวนทุกสิ่งแบบทวีคูณนั่นเอง
3.เทคโนโลยี เวอร์ชวล เรียลลิตี้ Virtual Reality หรือ VR นั่นเอง
เทคโนโลยี VR นั้นก็คือการจำลองโลกเสมือนขึ้นมาผ่านอุปกรณ์ต่างๆนั่นเอง ส่วนมากจะมีแว่นตาพร้อมหูฟังเพื่อให้เราสามารถมองเห็นโลกเสมือนที่ถูกจำลองขึ้นผ่านสายตาของเรา เช่น หากคุณผู้อ่านต้องการจะไปบ้านผีสิงที่สวนสนุก ตอนนี้ก็ไม่ต้องแล้วครับ เพียงคุณผู้อ่านเล่นเครื่อง VR นี้ ผมรับรองได้เลยครับว่า ประสบการณ์ที่คุณผู้อ่านจะได้รับนั้น… ไม่แพ้บ้านผีสิงที่ไหนๆแน่ๆครับ
ถ้าพูดถึงเทคโนโลยี VR ผมว่าเป็นเทคโนโลยีที่ใกล้ตัวและเกิดขึ้นกับชีวิตประจำวันของเรามากที่สุดเลยล่ะครับ เพราะว่าทุกวันนี้เราไปที่ไหนก็เริ่มพบเห็นเทคโนโลยีนี้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ออกกำลัง หรือการเล่นอุปกรณ์ VR , ภาพยนต์ต่างๆ , อุปกรณ์จำลองสถานที่เสมือน เช่น รถแข่ง เครื่องบิน เรือดำน้ำ หรือ ป๊อบอัพทางการศึกษาหรือธุรกิจที่เวลาเราเอามือถือไปส่องผ่านแอพแล้วจะมีสิ่งของ 3 มิติเด้งขึ้นมาให้เห็นในมือถือ (อันนี้เรียกว่า AR นะครับ) ซึ่งในอนาคตเทคโนโลยีนี้กำลังพัฒนาเข้าสู่ชีวิตประจำวันของเรามากขึ้น โดยเราอาจจะได้เห็นสื่อการเรียนการสอนที่ดีมากขึ้น เช่น นักศึกษาแพทย์สามารถจำลองการผ่าตัดด้วย VR , การหัดขับรกF1โดยใช้ VR ที่สมจริง(อันนี้มีขึ้นจริงแล้วครับ) หรือแบบจำลองบ้านที่ให้เห็นภาพหลังสร้างเสร็จด้วย VR แต่เท่าที่ผมทราบมาในอนาคตเทคโนโลยี VR นี้จะมีการผสมผสานโลกเสมือนกับโลกจริงด้วยนะครับ เป็นต้นว่าคุณผู้อ่านกำลังทำงานอยู่ตรงโต๊ะทำงาน แต่วิวข้างหน้าเห็นเป็นทะเลสวยงาม อะไรแบบนี้นะครับ
4.Blockchain (บล็อคเชน) technology
“บล็อคเชน” คำนี้บางท่านก็เคยได้ยินมาก่อนใช่ไหมครับ จริงๆแล้วเทคโนโลยีบล็อคเชนนี้เราควรเริ่มจะศึกษาเป็นอันดับแรกๆเลยล่ะครับ เพราะเกี่ยวข้องกับองค์กรต่างๆรวมถึงหน่วยงานราชการต่างๆ และเมื่อถึงเวลาปรับเปลี่ยนจริงๆอาจจะใช้เวลาในการเปลี่ยนแปลงไม่นาน และโอกาสทางธุรกิจก็จะมาถึงคนที่ปรับตัวก่อน จริงไหมครับ
ถ้าพูดถึงบล็อคเชน ที่ต่างประเทศเองก็เริ่มมีการนำมาใช้กับองค์กรต่างๆกันแล้วนะครับ เพราะว่าบล็อคเชนนั้นก็คือ การเก็บรวบรวมข้อมูลต่างๆเป็นห้องๆเพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถหยิบมาใช้ร่วมกันได้ง่าย อยากให้นึกภาพของ ธนาคาร หรือโรงพยาบาลนะครับ คือธนาคารหรือโรงพยาบาลเนี่ย ก็จะมีหลายจังหวัด และจังหวัดนึงก็จะมีอีกหลายสาขาถูกต้องมั้ยครับ ฉะนั้นแล้ว เวลาที่ลูกค้าเข้ามาใช้บริการ แล้วต้องมีการกรอกเอกสารอะไรก็ตาม ก็เป็นเรื่องยากที่เอกสารนั้น จะไปอยู่ที่อีกสาขานึงในจังหวัดห่างไกลใช่ไหมล่ะครับ อีกทั้งยังมีโอกาสที่จะสูญหาย เขียนผิด หรืออะไรก็ตามอีกมากมาย ยิ่งเป็นเอกสารที่ต้องมีการส่งไปส่งมาด้วยนะครับ โอ้โห ส่งกลับมาแก้ทีนึงช้าขึ้นเป็น 10 วันนะครับ
5.เทคโนโลยีความปลอดภัยของ iot(ไอโอที) หรือ Internet of Things(อินเตอร์เน็ต ออฟ ติงส์)
เทคโนโลยีความปลอดภัยที่ว่านี้อาจไม่ใช่หมายถึงความปลอดภัยในการใช้งาน iot อย่างเดียวนะครับ แต่รวมไปถึงการป้องกันไวรัสต่างๆหรือป้องกันการถูกแฮคเกอร์เข้ามาควบคุมหรือเปลี่ยนแปลงด้วย แต่เอ๊ะ.. เดี๋ยวก่อนนะครับ แล้ว iot นี่คืออะไรกันล่ะ?
iot(ไอโอที) หรือ Internet of Things(อินเตอร์เน็ต ออฟ ติงส์) นั้นก็คือสิ่งประดิษฐ์ทุกๆอย่าง ที่สร้างขึ้นเพื่อใช้งานใดงานหนึ่ง ไม่จำกัดว่าจะเป็น เครื่องดูดฝุ่น ไปจนถึง อุปกรณ์ยกเสาเข็ม ประตูอัตโนมัติ และอีกมายมาย โดยมีสื่อกลางในการทำงานคือ อินเตอร์เน็ตนั่นเอง นั่นหมายความว่า ในอนาคตที่ใกล้มากๆนี้ผู้คนกำลังหันไปใช้ iot ในการดำเนินชีวิตมากขึ้น ทั้งในบ้าน ในอาคาร ในที่ทำงาน ขนส่งมวลชน โรงพยาบาล หรือสถานที่ต่างๆ และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มมากขึ้น เรียกได้ว่า สะดวกสบายกันไปทุกหย่อมหญ้าเลยทีเดียวเชียว และปัจจุบันนี้ก็มีผู้ผลิต ผลิตสินค้าประเภท iot ออกมาสู่ตลาดมากมายเลยนะครับ นั่นหมายความว่า อนาคต อินเตอร์เน็ตจะเป็นสิ่งที่ทุกบ้านมี และการดำเนินชีวิตประจำวันตั้งแต่ตื่นนอน เราก็จะใช้งาน iot มากขึ้นในทุกๆครอบครัวทั่วโลก
ที่มา: neatothailand